5 นาทีกับการตัดสินว่าจะไปต่อหรือไม่



หลังจากที่ได้อ่านเรื่องราวของคนอื่นๆและจากเวปของคุณ Susie ที่ช่วยได้เยอะมากมายนั้น ก็ถึงคราวที่ผมจะได้แบ่งปันเรื่องราวของตัวเองบ้าง

ผมขอวีซ่านักเรียน (F1) ที่กงสุลอเมริกาในเชียงใหม่ครับ หลังจากจองวันสัมภาษณ์ ซื้อซองที่ไปรษณีย์แม่ปิงรวมถึงจ่ายเงินค่าสัมภาษณ์ เตรียมเอกสารทุกอย่างและติดต่อโรงเรียนด้วยตัวเอง (คุณสามารถทำทุกอย่างเองได้นะครับ ไม่ต้องผ่านเอเจนซี่ ขอแค่ต้องศึกษาข้อมูลดีๆที่มีมากมายเท่านั้น) ก็มาถึงวันสัมภาษณ์

เอกสารที่ผมเตรียมไป
หนังสือเดินทาง
เอกสาร ds 156, 157, 158 กรอกให้เรียบร้อยนะครับและเช็คบารโค้ดด้วย
เอกสาร i-20 จากทางโรงเรียน
ใบเสร็จ service fee 100$ จ่ายและพิมพ์ออกมา
ซองจดหมายที่ซื้อจากไปรษณืย์แม่ปิง (เป็นจดหมายลงทะเบียนที่เค้าจะส่งหนังสือเดินทางของคุณไปที่บ้านนะครับ)
ใบเสร็จค่าสัมภาษณ์วีซ่า สี่พันกว่าบาท

เอกสารอื่นๆ
Transcript (ชื่อไม่ตรงกับในpassport เลยต้องไปขอใบรับรองมาด้วย)
จดหมายจากที่ทำงาน รับรองว่าเราทำงานมานานเท่าไหร่และได้เงินเดือนเท่าไหร่
จดหมายจากป้าที่รับรองว่าจะจ่ายเงินให้เราไปเรียน (ป้ามีครอบครัวอยู่ที่อเมริกานะครับ)
ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับป้า
Bank Statement บอกว่ามีเงินจำนวนเท่าไหร่
Tax Return ของปี 2006-2007 จากป้า บอกว่ามีรายรับปีล่ะเท่าไหร่ ทำงานอะไรอยู่ มีทรัพย์สินทั้งหมดเท่าไหร่

เอาล่ะ หลังจากที่ได้อ่านกระทู้มามากมาย และเตรียมรับมือกับคำถามที่คนอื่นได้เจอมา ผมนัดรอบ 10.30 น. เดินทางไปถึงที่สถานฑูตประมาณ 10 โมง ฝากมือถือ หูฟัง และโดนตรวจค้นไปตามระเบียบเรียบร้อยแล้ว ก็เดินเข้าไปหาพี่เสื้อแดงเพื่อรับการตรวจเอกสาร เราก็พอรู้มาบ้างว่า เอกสารหลักมีอะไรบ้าง พี่เสื้อแดงก็จัดแจงเรียงเอกสารของผม ตรวจชื่อว่าสะกดถูกไม่ถูก ตรวจว่าเซ็นเอกสารครบไหม ผมดันลืมเซ็นที่ใบ i-20 และจ่าหน้าซองถึงตัวเอง นอกนั้นผ่านหมด พี่เขาถามว่าจะสัมภาษณ์เป็นภาษาอะไร ผมเลือกภาษาอังกฤษครับ ได้บัตรคิวเบอร์ที่ 43 และพี่เสื้อแดงก็บอกให้ผมเดินเข้าไปรอในห้องเย็นข้างใน

นี่เป็นครังแรกที่ได้มาสัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ เพราะสองปีที่แล้วผมไปสัมภาษณ์ที่กรุงเทพครับ ที่นี่มีเก้าอี้ให้ท่านนั่งรอพร้อมกับทีวีที่กำลังฉายเรื่องการแสกนนิ้วมือวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่นี่มีช่องสัมภาษณ์อยู่สามช่อง พร้อมกับฉากกั้นห้องแบ่งแยกระหว่างคนที่รอกับคนที่ถูกสัมภาษณ์ ผมเลยไม่เห็นว่าใครผ่านไม่ผ่าน กงสุลหน้าตาเป็นยังไงเหมือนที่กรุงเทพ

จากนั้นเขาจะเรียกเราไปช่องที่ 1 เพื่อขอเอกสารเพิ่มเติม เป็นพี่คนไทยครับ ขอเอกสารจากป้าและใบ Transcript เพิ่มเติม และถามคำถามอีกเล็กน้อยว่าไปเรียนอะไร ป้าอยู่ที่ไหน จะไปพักอยู่กับป้าหรือเปล่า เสร็จแล้วเขาก็ให้เรามานั่งรอ

ที่นี่เรียกตามคิวนะครับ เพราะว่าเมื่อสองปีที่แล้วที่กรุงเทพ เขาไม่ได้เรียกเรียงตามเบอร์ที่เราได้ ต้องรอลุ้นว่าจะเป็นเราเมื่อไหร่ ผมเอาหนังสือเข้าไปอ่านเพื่อรอเวลานั้น และเตรียมว่าจะตอบคำถามยังไงบ้าง

เกือบจะเที่ยงแล้วครับ และแล้วเบอร์ 43 ก็ขึ้นบนหน้าจอให้ไปที่ช่องหมายเลข 2 (วันนี้มีกงสุลทำงานอยู่ท่านเดียวครับ) เดินเข้าไป เอากระเป๋าวางที่พื้นแล้วไปยืนอยู่บนแท่น รอการแสกนนิ้ว กงสุลหน้าไทยๆบอกว่า "มือซ้ายครับ" ติ๊ดติ๊ด "มือขวา" ติ๊ดติ๊ด "หัวแม่มือ" ติ๊ดติ๊ด เดินลงมาจากแท่นนั้น การสัมภาษณ์เป็นดังนี้ (แปลให้แล้วนะ จริงๆแล้วเป็นภาษาอังกฤษ)
กงสุล : จะไปเรียนอะไรที่โน่นครับ?
ผมตอบ : กราฟฟิก ดีไซน์ครับ
กงสุล : ทำไมอยากเรียน graphic design?
ผม : ชอบนิตยสารครับ อยากทำงานในบริษัททำนิตยสาร และชอบเกี่ยวกับ design
กงสุล : เห็นคุณจบมาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผมบอกว่า : ครับ
กงสุลถามต่อ : เมื่อไหร่ครับ?
ผม : 2004 ครับ
กงสุลอยากรู้ว่า : แล้วทำอะไรตั้งแต่จบมา
ผมวิสัชนาไปว่า : ทำงานที่......แล้วไปทำงานช่วง summer ที่อเมริกา แล้วตอนนี้ทำงานที่........
ท่านกงสุล : ทำอะไรบ้าง
ผม : ทำบัญชี และนั้นนี่โน่น (ไหนคนอื่นบอกว่าถามแค่สามคำถามเอง)
กงสุล : ใครจะจ่ายเงินค่าที่จะไปเรียนให้ครับ?
ผม : ป้าครับ
ท่าน : เขาจะจ่ายให้ทุกอย่างเลยหรออ
ผม : ใช่ครับ (ยังไม่เสร็จอีกหรออเนี้ย)
กงสุล : จบสาขาอะไรมาครับ?
ผมตอบว่า : มานุษยวิทยาครับ
กงสุล : แล้วมันไม่เกี่ยวอะไรกับ graphic design เลย
ผมบอกว่า : พอดีตอนนั้นเลือกโดยเหตุบังเอิญแล้วติด แต่ว่าทีหลังก็รู้ว่าชอบเกี่ยวกับ design
กงสุล : (หัวเราะชอบใจ พร้อมกับปั้ม CANCLE ที่วีซ่าอันเก่าของเรา) วีซ่าจะส่งไปอีกสามสี่วันนะครับ :)
ผมยิ้มและพูดว่า : Thank you!!!!!!!!!

Picture from : www.gettyimages.com